จากแรงบันดาลใจของ นพ.พีรยศ ตรงสวัสดิ์ แพทย์สาธารณสุข อดีตผู้อำนวยการกองควบคุมโรคเอดส์สำนักงานอนามัย กรุงเทพมหานคร สนใจศึกษาค้นคว้าคุณสมบัติของน้ำปรับโมเลกุล ตั้งแต่ประมาณ ต้นปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา
วัดพระบาทน้ำพุ เป็นแหล่งเดียวที่คุณหมอเชื่อว่า มีผู้ป่วยมากพอที่จะให้ดื่มน้ำและทำการศึกษาทางการแพทย์ โดยการศึกษาครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2548 มีอาสาสมัคร 38 ราย ปรากฎว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคฉวยโอกาสมีอาการดีขึ้นทุกคน และมี 2 คน ที่มีระดับภูมิต้านทาน (CD 4) เพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลา 2 เดือน หมายถึงในร่างกายสามารถต่อต้านเชื้อโรคที่เข้าไปในตัวได้มากขึ้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 บริษัทฯ ได้มีการจัดทำโครงการรับบริจาคเครื่องปรับโมเลกุลน้ำเอ็มเร็ทจากผู้มีจิตศรัทธา เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ศูนย์บำบัดผู้ป่วยโรคเอดส์ตามสถานที่ต่างๆ โดยมีท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เป็นประธานฯ โครงการดังกล่าว มีผู้บริจาคทั้งหมด 30 เครื่อง ทางบริษัท เฮลท์ รีเลชั่นส์ จำกัด สนับสนุนให้อีก 30 เครื่อง รวมเป็น 60 เครื่อง ถวายให้ท่านเจ้าคุณอลงกต ไปผลิตน้ำปรับโมเลกุลเอ็มเร็ทที่วัดส่วนหนึ่ง และแจกจ่ายชุมชนคนเป็นเอดส์แหล่งต่างๆ อีกส่วนหนึ่ง
ผลจากการศึกษาและการสังเกตทางการแพทย์ครั้งแรก เป็นผลให้คุณหมอพีรยศ คิดที่จะทำการศึกษาต่อเนื่อง โดยมี บริษัท เฮลท์ รีเลชั่นส์ จำกัด ให้การสนับสนุนให้มีการศึกษา ครั้งที่ 2 เป็นการพัฒนาสู่ระดับงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกัน CD 4 และ CD 8 และปริมาณเชื้อเอชไอวี ในผู้ป่วยเอดส์ที่ดื่มน้ำเอ็มเร็ทกับน้ำธรรมดา ” ควบคู่กับการให้ยาต้านไวรัสทำการทดลองระหว่างเดือนเมษายน 2552 ถึงเดือนเมษายน 2553
การทดลองอาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการมีทั้งหมด 55 ราย ทุกรายเป็นผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ระยะสุดท้าย หรือโรคเอดส์เต็มขั้น และมีโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น มะเร็ง เชื้อราขึ้นสมองน้ำท่วมปอด ท้องเสีย คัน และเป็นตุ่มที่ผิวหนัง
รายงานผลการวิจัยกลุ่มทดลอง แบ่งเป็นกลุ่มดื่มน้ำเอ็มเร็ท 14 คน และกลุ่มไม่ได้ดื่มน้ำเอ็มเร็ท แต่ดื่มน้ำสะอาด โดยใช้ระบบ Reverse Osmosis และ UV light 18 คน
การทดลองเริ่มจากการให้อาสาสมัครเกือบทั้งหมดได้รับการรักษาด้วยยาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด การสังเกตทางการแพทย์พบว่า อาสาสมัครกลุ่มที่เข้าร่วมทั้งกลุ่มดื่มน้ำเอ็มเร็ท มีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณ CD 4 เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เดือนแรก และเมื่อเปรียบเทียบปริมาณก่อนดื่มน้ำและหลังดื่มน้ำครบ 6 เดือน พบว่าปริมาณ CD 4 เพิ่มขึ้น และมีปริมาณไวรัสลดลง อาการท้องเสีย ปวดกระดูก ไม่มีเรี่ยวแรง ผิวหนังเป็นเกล็ดแห้ง ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนหายไปหมด ส่วนอาสาสมัครกลุ่มที่ดื่มน้ำสะอาดบางราย ตรวจพบว่าปริมาณ CD 4 และ CD 8 และปริมาณไวรัสไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ
“เคยพูดเอาไว้เมื่อปี 49 ว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่วัดลดลงมาก ทำให้ผู้ป่วยรุ่นหลังๆ เข้าไม่ถึงน้ำเอ็มเร็ทเพราะเอ็มเร็ท ก็กลายเป็นของเฉพาะกลุ่มแทน ซึ่งผู้ป่วยหนักๆ ที่มาทีหลังก็จะบริการไม่ทั่วถึง เครื่องที่ได้รับบริจาคจากคราวก่อนเอาไว้ที่วัดส่วนหนึ่ง และก็เอาไปบริจาคด้วย เพราะเราเห็นว่าเป็นประโยชน์มาก ก็มีหลายที่ที่มีความประสงค์จะใช้ เราก็เลยแบ่งปันกันไป ตอนนั้นที่วัดเรามีเยอะ เราก็แบ่งด้วยความเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น อาจจะมากไปหน่อยตัวเองก็เลยไม่พอ อันนี้ไม่ได้เป็นการบอกขอนะ แต่ว่าเป็นการบอกให้ทราบว่า ถ้าเอาไปให้อีกมันก็ดี คือ ปัจจุบันนี้ ถ้าหากว่าเรามองภาพรวมแล้วก็สรุปได้ว่า เอ็มเร็ท นี้มีบทบาท มีผลอย่างไรต่อชีวิตของผู้ป่วย เราก็เห็นได้ว่า ผู้ป่วยที่ดื่มน้ำเอ็มเร็ท อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ แล้วก็ปฎิบัติตัวอย่างมีวินัยกับการดูแลตัวเอง น่าจะเกือบ 100 ทั้ง 100 ชีวิตเขาก็มีจะมีคุณภาพที่ดี ซึ่งส่วนที่ขาดวินัยไป ถึงจะดื่มน้ำแต่ขาดวินัยก็เป็นธรรมดา อาการก็จะทรุดลง แย่ลง หรือบางคนก็เสียชีวิตไปก็มี แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะมาสรุปว่า น้ำเอ็มเร็ท ไม่ดี มันคงจะสรุปว่า น้ำเอ็มเร็ทนี่เป็นน้ำดื่มที่มีคุณภาพดีสำหรับชีวิตผู้ป่วย”
พระอุดมประชาทร (ท่านเจ้าคุณอลงกต) กล่าวไว้ใน งานแถลงข่าวผลการวิจัย “การศึกษาเปรียบเทียบระดับ ภูมิคุ้มกัน CD 4 และ CD 8 และปริมาณเชื้อเอชไอวีในผู้ป่วยเอดส์ที่ดื่มน้ำเอ็มเร็ทกับน้ำธรรมดา” ควบคู่กับการให้ยาต้านไวรัส วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นผลให้ผู้มีจิตศรัทธาและผู้บริหาร บริษัท เฮลท์ รีเลชั่นส์ จำกัด ร่วมกันถวายเครื่องปรับโมเลกุลน้ำเอ็มเร็ทเพิ่มเติม 69 เครื่อง ที่อาคารเฉลิมพระบารมี ๕๐ ปี เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2554 เพื่อนำไปผลิตน้ำให้ผู้ป่วยเอดส์ ที่วัดพระบาทน้ำพุและสถานพักฟื้นบำบัดต่างๆ ตามที่ท่านเจ้าคุณเห็นสมควรต่อไป